ความรอดกับความอ่อนแอ
คำเทศนา อธิบาย 2 โครินธ์ 12:9
โดย อจ. อีริค ชาง
“เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น”
จงอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของท่านทั้งหลาย ด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น
วันนี้ผมจะอธิบายเรื่องที่สำคัญมากในพระคำของพระเจ้า ฟิลิป 2:12 กล่าวว่า “ฉะนั้น พวกที่รักของข้าพเจ้า เหมือนอย่างที่ท่านเชื่อฟังข้าพเจ้าอยู่เสมอ ท่านจงอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของท่านทั้งหลาย ด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น ไม่เฉพาะในเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่ด้วยเท่านั้น แต่มากยิ่งกว่านั้นอีกในเวลาที่ข้าพเจ้าไม่อยู่”
เราจะดูถ้อยคำนี้ “จงอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของท่านทั้งหลาย ด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น” ตลอดชีวิตคริสเตียนของผม(ซึ่งเป็นช่วงเวลานาน)ผมไม่เคยได้ยินคำเทศนาจากถ้อยคำนี้มาก่อนเลย แต่นี่เป็นถ้อยคำที่สำคัญเพราะมันเกี่ยวข้องกับความรอด น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่ความรอดของเราจะต้องอุตส่าห์ประพฤติด้วย“ความกลัวและตัวสั่น” เรามักจะคิดว่าชีวิตคริสเตียนเป็นเรื่องของความรัก ความยินดี และสันติสุข แต่เราเคยเข้าใจไหมว่าความกลัวและตัวสั่นมีความสำคัญกับชีวิตคริสเตียนหรือกับความรอด
ถ้าคุณค้นดูคู่มืออธิบายฟิลิปปีที่มีอยู่มากมาย คุณจะไม่พบคำอธิบายที่น่าพอใจ ผมได้ถามหลายๆคนว่า “ช่วยบอกทีว่า ถ้อยคำนี้หมายความว่าอย่างไร” แต่ก็ไม่มีใครอธิบายถ้อยคำนี้ให้ผมได้ เห็นชัดว่าเราได้สูญเสียกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจพระคัมภีร์และทำความเข้าใจเรื่องความรอด ถ้าเราสูญเสียกุญแจไปสู่ความรอด เราก็จะสูญเสียทุกอย่าง
แม้เราจะได้ทำการศึกษาคำในข้อนี้ เราก็ยังคงไม่พบคำตอบ เราจะต้องเข้าใจฐานกว้างๆที่ได้จากหลักคำสอนของถ้อยคำเหล่านี้ ดังนั้นวันนี้เราจะทูลขอองค์ผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้เราเข้าใจถ้อยคำที่สำคัญอย่างมากนี้
เปาโลอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของเขาด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น
จะอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของคุณอย่างไร คำตอบที่ต้องแปลกใจก็คือ ด้วยความกลัวและตัวสั่น เปาโลเป็นอัครทูตแห่งเสรีภาพ เขาเป็นอัครทูตที่พูดถึงเสรีภาพแห่งพระวิญญาณ (กาลาเทีย 5:1) และพูดถึงความรัก ความชื่นชมยินดี และสันติสุข แต่ตรงนี้เขาพูดถึงความกลัวและตัวสั่นในบริบทของการอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของเรา! นั่นไม่ใช่ถ้อยคำที่เราชอบฟังกัน ในปัจจุบันนี้จะพูดกันมากถึงการประกาศอย่างมีฤทธิ์เดช ฤทธานุภาพและพลัง พระสิริและพระบารมี แต่ “ความกลัวและตัวสั่น” เป็นเรื่องที่เราไม่เคยได้ยิน แล้วคุณเองเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร
ถ้าคุณค้นศัพท์สัมพันธ์ดูคุณจะพบว่าเปาโลใช้คำว่า “กลัว”และ“ตัวสั่น” แบบรวมกัน “เกรงกลัวและตัวสั่น” ไม่กี่ครั้ง คำนี้มีความหมายที่ต่างกันเล็กน้อยในบริบทที่ต่างกัน บางครั้งก็จะหมายถึงการอ่อนน้อมหรือเชื่อฟังในแบบที่ทาสอ่อนน้อมต่อเจ้านายของพวกเขา เราอาจจะแปลกใจที่เปาโลเตือนสติแบบนี้ แต่เปาโลก็ยังใช้คำ“กลัวและตัวสั่น”กับตัวเองด้วย ตัวอย่างเช่นใน 1 โครินธ์ 2:2-3 เขากล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน และเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็อ่อนกำลังมีความกลัวและตัวสั่นเป็นอันมาก”(ฉบับไทยคิงเจมส์)
ในที่นี้เปาโลกำลังพูดถึงพระเยซูคริสต์ว่า “ทรงถูกตรึง” ไม่ได้พูดถึงว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระสิริ หรือเป็นจอมเจ้านาย หรือเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ เขากำลังพูดถึงพระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึง ถูกแขวนอยู่บนกางเขนในสภาพที่อ่อนแอและอ่อนแรงที่สุด เปาโลกล่าวกับชาวโครินธ์ว่า “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆในหมู่พวกคุณเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน!” เป็นเพราะว่าความตายของพระองค์บนกางเขนพระองค์จึงทรงถูกยอมรับว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (ฟิลิปปี 2:8-11) เขากล่าวต่อไปว่า “ข้าพเจ้าอยู่กับท่านทั้งหลายด้วย...” ด้วยอะไรหรือ ด้วยการใช้อำนาจและสิทธิในการเป็นอัครทูตอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่เลย เปาโลอยู่กับพวกเขาด้วย “ความอ่อนแอ” แค่นั้นยังไม่พอเปาโลยังพูดต่อไปว่าเขา “มีความกลัวและตัวสั่นอย่างมาก” คำเดียวกันกับที่ใช้ในจดหมายที่มีไปถึงชาวฟิลิปปี
เราเข้าใจคำกล่าวที่น่าตกใจนี้อย่างไร เปาโลผู้เป็นอัครทูตคนสำคัญที่มีพลัง กำลังบอกกับชาวโครินธ์ว่าเขาอยู่กับพวกเขาด้วย “ความอ่อนแอ” และด้วย “ความกลัวและตัวสั่น” เขาอ่อนแอจนถึงกับตัวสั่น
คุณเคยมีประสบการณ์อย่างนี้ไหม มีเป็นช่วงๆ ที่ผมอยู่ในสภาวะร่างกายอ่อนแอมาก เมื่อผมยกแขนขึ้นก็ถึงกับสั่น ผมก็จะพูดกับตัวเองว่า “เกิดอะไรขึ้นกับผม ดูแขนของผมสิ!” พวกคุณหลายคนคงจะเคยมีประสบการณ์ไข้ขึ้นที่ทำให้คุณอ่อนเปลี้ยมากจนตัวคุณสั่นเทิ้ม
แต่อัครทูตเปาโลกลัว! ใช่แล้วทั้งกลัวและตัวสั่น นี่เป็นภาพของความอ่อนแออย่างสุดๆ คุณสามารถเข้าใจในเรื่องนี้ไหม ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณคิดว่าชีวิตคริสเตียนเป็นเรื่องของฤทธิ์เดช ในทุกวันนี้เราจะได้ยินถึงเรื่องฤทธิ์เดชกันมาก แม้แต่ “การประกาศอย่างมีฤทธิ์เดช” ใครๆก็ต้องการฤทธิ์เดช มีคนหนึ่งที่ชื่อ เอ รอบบิ้นส์ ใช้คำ “ฤทธิ์เดช” เป็นปกหนังสือของเขาแล้วปรากฏว่าขายดีอย่างเทน้ำเทท่า คุณอยากจะขายหนังสือสักเล่มบ้างไหม ก็แค่เขียนเรื่อง “วิธีการได้ฤทธิ์เดช” หนังสือของคุณก็จะขายดีทีเดียว
แต่จะมีใครบ้างที่อยากจะขายหนังสือเรื่อง “ความอ่อนแอ” ถ้าใช้ชื่อหนังสือว่า “การมาเป็นคนอ่อนแอ” หนังสือก็คงจะขายไม่ออก และคงค้างอยู่บนชั้นหนังสือตลอดไป มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะซื้อหนังสือเรื่องการมาเป็นคนอ่อนแอ ฟังดูแล้วน่าขำ และวันนี้ผมก็กำลังจะสอนเรื่องความอ่อนแอที่น่าขำนี้
คริสตจักรปฏิเสธหลักการของความอ่อนแอ
ศาสนศาสตร์จำนวนมากในปัจจุบันนี้เกี่ยวข้องกับงานเขียนเปาโล ใครเป็นผู้เขียนจดหมายหลายฉบับที่เราชอบใช้ศึกษากันมาก ก็ต้องเป็นเปาโล อะไรคือเคล็ดลับพลังของเปาโลหรือ เคล็ดลับของเขานั้นไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกจากความอ่อนแอ และตอนนี้เขากำลังจะแบ่งปันเคล็ดลับนี้กับเรา “เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าทำอะไรบ้าง ข้าพเจ้าวางโตกับพวกท่าน เชิดหน้าและยืดจนสุดความสูง 152 เซ็นต์ของข้าพเจ้า ข่มพวกท่านด้วยท่าทางและความน่าดึงดูดอย่างมากของข้าพเจ้าอย่างนั้นหรือ พวกท่านมองข้าพเจ้าอย่างเกรงขามยังกับอัครทูตที่น่าดึงดูดผู้มีวงรัศมีจ้าบนหัวอย่างนั้นหรือ” สิ่งนี้คือสิ่งที่โลกคาดหวังจากเปาโล การเป็นคนมีท่าทางเข้มแข็งนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากในโลกนี้ ถ้าคุณทำตัวจ๋อยๆเหมือนหนูก็จะไม่มีทางเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทได้ คุณจะต้องเดินอย่างมั่นใจ ชี้มือชี้ไม้และทำให้รู้สึกว่าคุณอยู่ตรงนั้นและดูสำคัญ
แต่เปาโลพูดว่าอย่างไร เปาโล “อ่อนแอ” เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา เราจะเห็นว่าคำพูดนี้รับไม่ได้อย่างยิ่งจนเราสงสัยว่าอาจมีใครใส่คำเหล่านี้เข้าไปในจดหมายของเปาโล ผมเสียใจด้วยที่จะต้องบอกว่านี่เป็นคำพูดของเปาโลเอง และเปาโลเป็นคนอ่อนแอขนาดไหนหรือ ก็ขนาดถึงกับกลัวและตัวสั่น ลองนึกภาพเปาโลที่กำลังยืนอยู่ด้วยตัวสั่นเทิ้ม คุณจะนึกภาพที่เห็นเปาโลเป็นแบบนั้นได้หรือ
แต่ความอ่อนแอเป็นหลักการที่เกี่ยวข้องกับความรอด เปาโลบอกเราให้อุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของเรา อุตส่าห์ประพฤติอย่างไร ก็ด้วยความกลัวและตัวสั่น! คำสองคำนี้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแออย่างถึงขีดสุด
คุณกำลังอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของคุณด้วยความกลัวและตัวสั่นไหม คุณรู้สึกถึงความอ่อนแอเต็มที่ในชีวิตของคุณไหม นี่เป็นปัญหาของเราหลายๆคน คริสเตียนหลายคนอ่อนแอข้างใน แต่พวกเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะที่จะแสดงความอ่อนแอใดๆกับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน ฉะนั้นแม้คุณไม่รู้สึกว่าอยากจะทำ คุณก็ยังต้องฝืนยิ้มเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วพี่น้องจะถามคุณว่า “เป็นอะไร ไม่สบายหรือ มีปัญหากับทางบ้านหรือเปล่า” เราจึงต้องพยายามอย่างสุดๆที่จะทำหน้าตาให้ยิ้มแย้มเอาไว้แม้จะรู้สึกแย่ก็ตาม เราถูกฝึกให้ยิ้มอย่างคอลเกต เทคนิคก็ง่ายๆแค่คุณฉีกยิ้มสักนิด และคุณรู้สึกอย่างไร คุณรู้สึกว่าช่างเสแสร้งจริงๆใช่ไหม เมื่อคุณตอบไปว่า“ก็สบายดี” ขณะเมื่อคุณไม่ได้หมายความอย่างที่คุณพูด
เราไม่กล้าจะยอมรับว่าเราอ่อนแอหรือเราแย่ เราจึงมีแต่การเสแสร้ง ทุกค่ำวันอาทิตย์คุณจะหมดแรงจากการเล่นละครในคริสตจักรตลอดทั้งวัน คุณแสดงได้ดีจนน่าจะได้งานทำในฮอลลีวูด ทุกๆคนคิดว่าคุณคงจะมีความสุขดีแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่แย่ก็ตาม ฟังแล้วคุ้นๆใช่ไหม เราไม่กล้ายอมรับว่า “วันนี้ฉันแย่ ฉันเหนื่อย และเศร้าใจ เพราะตลอดทั้งอาทิตย์ ฉันไม่สามารถจะดำเนินชีวิตคริสเตียนได้เลย ฉันล้ากับการที่จะต้องทำตัวว่าเข้มแข็ง และยิ่งฉันเสแสร้งเท่าไรฉันก็ยิ่งเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้น ฉันก็ไม่มีใจที่จะแสดงต่อไปว่าฉันเข้มแข็ง ฉันไม่สนอีกแล้วว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับฉัน” ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น เห็นทีคุณก็ได้มาถึงจุดที่ควรจะเป็นเสียตั้งแต่แรก
ผมคิดว่าคริสตจักรจะเป็นที่ที่ดีถ้าเราได้มาประชุมอธิษฐาน มีพิธีศีลมหาสนิทด้วยกันและก็พูดกันอย่างเปิดอกว่า “พี่น้อง วันนี้ผมรู้สึกแย่จริงๆ ขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้ยิ้ม ผมจะขอบคุณจริงๆถ้าพี่น้องจะนึกถึงผมในคำอธิษฐานของพี่น้อง ขอบอกด้วยความจริงใจว่า ผมไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะได้เลยในตลอดอาทิตย์นี้ ผมทำหลายสิ่งที่ไม่ควรทำและพูดหลายสิ่งที่ไม่ควรพูด ยกโทษให้ผมด้วยที่วันนี้ยิ้มไม่ออก ขอระลึกถึงผมในคำอธิษฐานของพี่น้องด้วย” นี่จะจริงใจกว่าการเสแสร้งที่น่าขันตั้งเยอะ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงชีวิตคริสเตียนอย่างมากด้วย
“จงอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของท่านทั้งหลาย ด้วยความกลัวและตัวสั่น” อย่างน้อยๆก็หมายความว่า การจริงใจและยอมรับความอ่อนแอของเรา” (มันหมายความมากกว่านี้แต่อย่างน้อยก็หมายความอย่างนี้) การจริงใจก็คือการยอมรับว่าเราไม่ได้ดีเลิศอย่างที่เราคิดว่าตัวเราเอง เป็นอย่างนั้น หรืออย่างที่เราอยากให้คนอื่นคิดว่าเราเป็น
เปาโลเลือกที่จะอ่อนแอ
อัครทูตเปาโลไม่ได้แสดงละคร ไม่ใช่แค่ตั้งใจจะไม่แสดงเท่านั้น แต่เปาโลกลับยอมให้เห็นว่าตัวเองอ่อนแอ นั่นยากที่จะเข้าใจใช่ไหม เมื่อคุณศึกษาวิธีที่เปาโลทำสิ่งต่างๆ คุณก็จะต้องประหลาดใจอยู่เรื่อยๆ
ผมขอยกตัวอย่างหนึ่งในเรื่องนี้จาก 2 โครินธ์ 10:10 เปาโลได้อ้างอิงสิ่งที่ชาวโครินธ์พูดถึงเขาว่า “เพราะจดหมายของเขาหนักแน่นและมีอำนาจ แต่ตัวเขาไม่น่าประทับใจ (แปลตรงตัวว่า “อ่อนแอ”)และการพูดของเขาก็ใช้ไม่ได้” ตัวของเปาโลไม่ได้มีลักษณะที่ดูน่าดึงดูดหรือน่าประทับใจเลย จงสังเกตคำว่า “อ่อนแอ” เปาโลบอกชาวโครินธ์ว่า เขาเป็นคนที่ “อ่อนแอ” ท่ามกลางพวกเขา ตัวของเขาดูอ่อนแอและไม่มีอะไรน่าประทับใจ คำพูดของเขาก็ใช้ไม่ได้ ไม่คล่อง
แม้เปาโลจะมีความรอบรู้และสติปัญญาเป็นเลิศ(ซึ่งทุกคนก็รับรู้) แต่การพูดของเปาโลใช้ไม่ได้และไม่น่าประทับใจ และที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่ร่ำเรียนมากจนมีคนในตำแหน่งสูงพูดกับเขาว่า “เปาโลเอ๋ย เจ้าคลั่งไปเสียแล้ว เจ้าเรียนรู้วิชามากจนทำให้เจ้าคลั่งไป” (กิจการ 26:24) เปาโลร่ำเรียนมาเยอะและการร่ำเรียนก็เป็นพื้นฐานของความคล่องและการรู้ศัพท์อย่างกว้างขวาง เมื่อมีการศึกษาที่ดีและมีสติปัญญาเป็นเลิศ คุณก็สามารถจะพูดได้อย่างคล่องแคล่วและน่าเชื่อถือมาก
แต่ทำไมคำพูดของเปาโลจึงใช้ไม่ได้ มีคำอธิบายแค่อย่างเดียว ความรอบรู้อย่างปราดเปรื่องของเขานั้นทุกคนก็รับทราบ จึงมีเพียงทางเดียวที่ทำให้คำพูดของเขาใช้ไม่ได้ นั่นก็คือเขาเลือกที่จะเป็นอย่างนั้น
“ข้าพเจ้ามาหาท่านด้วยความอ่อนแอกับความกลัวจนตัวสั่นอย่างมาก” ( 1 โครินธ์ 2:3 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) เปาโลเลือกที่จะเป็นคนอ่อนแอมากกว่าจะทำให้คนประทับใจกับคารมอันคมคายของเขา ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เขาอธิบายไว้ใน 1 โครินธ์ 2:5 ว่า “เพื่อความเชื่อของพวกท่านจะไม่ขึ้นกับปัญญาของมนุษย์ แต่ขึ้นกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า” นี่แหละเป็นเหตุที่เปาโลเลือกไม่สนใจสติปัญญาทั้งสิ้นของมนุษย์ ตอนนี้เราจึงเริ่มเห็นวิธีการอันน่าประทับใจที่เปาโลกระทำ ซึ่งแตกต่างกันมากจากวิธีที่มนุษย์กระทำ นักเทศน์ของเราหลายคนที่ได้รับการอบรมจากสถาบันพระคัมภีร์ได้ถูกสอนให้พูดจาฉะฉานคล่องแคล่วและยืนอยู่บนธรรมาสน์อย่างสง่าผ่าเผยและน่าประทับใจ แต่เปาโลกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
ใน 2 โครินธ์ 10:1 “ข้าพเจ้า เปาโล ขอวิงวอนท่าน...” เขาได้พูดไหมว่า “ข้าพเจ้า เปาโลผู้นำและอัครทูตของคริสตจักรโครินธ์ขอสั่งท่าน” ไม่ใช่เลย เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้า เปาโล ขอวิงวอนท่านเป็นส่วนตัว ด้วยความถ่อมสุภาพและอ่อนโยนของพระคริสต์...” ตรงนี้เขากำลังกล่าวอย่างชัดเจนอีกถึงพระคริสต์ที่ถูกตรึง เพราะฉะนั้นเขาจึงวิงวอนด้วยความสุภาพอ่อนโยนและความกรุณาของพระองค์ผู้ทรงถูกตรึงเพื่อความผิดบาปของเราว่า “ข้าพเจ้าผู้เป็นคนถ่อมตัวเมื่ออยู่กับท่านทั้งหลาย แต่เมื่ออยู่ห่างก็เป็นคนห้าวหาญต่อพวกท่าน” (กล่าวคือเขาห้าวหาญในจดหมายหลายฉบับของเขา ซึ่งอย่างน้อยก็ตามโครินธ์ในข้อ 10) ตรงนี้คือเคล็ดลับของเปาโล เขาไม่ได้ใช้วิธีการของมนุษย์ นั่นจึงเป็นเหตุที่พระเจ้าทรงสามารถใช้เขาได้
คริสตจักรได้เปลี่ยนไปหาโลก
ผมชอบไปร้านหนังสือในอเมริกาเหนือและผมก็ต้องแปลกใจเสมอที่คริสตจักรในปัจจุบันนี้ใช้วิธีการของโลกประกาศพระกิตติคุณ คุณจะเห็นหนังสือ เช่น “กุญแจไปสู่ความเป็นเลิศ” หรือ “การฝ่าฟันสู่ความเป็นเลิศ” ความเป็นเลิศที่พวกเขากำลังแสวงหาก็คือความเป็นเลิศที่มาจากวิธีการของโลก จากการบริหารจัดการธุรกิจของโลก จากหลักการในการเป็นผู้นำของโลกนี้ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเอามาใช้ในคริสตจักร และหนังสือเหล่านี้ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าที่คุณจะหาซื้อได้ในร้านหนังสือของคริสเตียน ผู้เขียนบางคนก็ไม่ได้เป็นคริสเตียนด้วยซ้ำ แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจในโลกนี้
เราเองได้ออกไปไกลมากจากพระกิตติคุณซึ่งเราไม่ได้เข้าใจอีกต่อไปว่าหลักการเหล่านี้ของโลกไม่สามารถจะใช้ในคริสตจักรได้ หลักการเหล่านี้ตรงข้ามกันมากกับวิธีการที่คริสตจักรควรจะทำ
แต่เปาโลก็เลือกที่จะเป็นคนต่ำต้อย เขาเลือกที่จะพูดในแบบที่ไม่สนใจสติปัญญาของมนุษย์ และจะไม่ให้คนประทับใจกับการร่ำเรียนและความฉลาดปราดเปรื่องอย่างมากของเขา คนเป็นจำนวนมากได้ยกให้เปาโลเป็นอัจฉริยะ เพราะเห็นได้ชัดจากจดหมายฉบับต่างๆของเขา (เช่น โรม) แต่ในเวลาเดียวกันก็ได้เห็นจากจดหมายทั้งหลายของเขาว่าเขาไม่ได้พยายามให้ผู้อ่านของเขาประทับใจกับสติปัญญาที่เกินธรรมดาของเขา
ถ้าไม่มีท่าทีแบบนี้คุณก็จะดำเนินชีวิตคริสเตียนไม่ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของคุณด้วยความกลัวและตัวสั่น คุณคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความกลัวและตัวสั่นเป็นอย่างไร ความกลัวและตัวสั่นนั้นเป็นเรื่องของการเลือก ไม่มีใครบังคับให้คุณต้องกลัวและตัวสั่น เหมือนๆกับที่ไม่มีใครบังคับเปาโลให้สุภาพและอ่อนโยน เขาเลือกที่จะเป็นอย่างนั้นเอง
เขาไม่ได้ใช้อำนาจของเขา หรือปฏิบัติไม่ดี ไม่ได้ชี้นิ้วเจ้ากี้เจ้าการสั่งคนรอบๆ เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าวิงวอนท่านด้วยความถ่อมอ่อนสุภาพและอ่อนโยนของพระคริสต์” ไม่มีการทุบธรรมาสน์ คนที่ทุบธรรมาสน์จะต้องคิดว่าเขามีสิทธิ์ทุบธรรมาสน์และตะโกนใส่คนฟัง คุณเคยฟังเทศนาแบบนั้นบ้างไหม พวกเขาวางโต พวกเขาเห็นว่าการทุบธรรมาสน์คือการมีสิทธิและอำนาจ ช่างเหลวไหลจริงๆ
โรงเรียนของพระคริสต์
ช่วงวัยรุ่นที่ผมไม่ได้เป็นคริสเตียน ผมชอบอ่านวารสารที่เด็กหนุ่มๆ สนใจกัน และตามวารสารเหล่านั้นจะมีโฆษณาการเพาะกาย จะมีรูปของชายที่ผอมกะหร่องเหมาะจะเป็นตัวอย่างให้แพทย์ได้ทำการศึกษา อีกรูปหนึ่งก็เป็นชายคนเดียวกันนี้หลังจากสมัครเข้าโปรแกรมเพาะกายแล้ว โอ้โห ตอนนี้เขามีกล้ามเป็นมัดๆ และกำยำไปเสียทุกส่วน เป็นชายชาตรีแท้ๆ! คุณจึงมองตัวเองว่า “ตัวเรามองเหมือนกับชายผอมกะหร่องเลย ไม่ได้การ จะต้องเปลี่ยนให้เหมือนอีกภาพหนึ่งจึงจะเป็นชายชาตรีอย่างเขา!”
อะไรหรือที่ดึงความสนใจของคุณ คุณอยากเป็นชายที่ร่างกายกำยำ มีกล้ามเป็นมัดๆไหม มีอะไรหรือที่ดึงดูดใจผู้คนให้อยากมีกล้ามเป็นมัดๆอย่างนั้น มันเป็นพละกำลังและความแข็งแกร่ง เพราะถ้ามีใครมาทำมิดีมิร้ายกับคุณ คุณก็จะได้สามารถจัดการและสอนบทเรียนกับเขาสักหน่อย
แต่สมมุติว่ามีโฆษณาที่ตรงกันข้าม “ชายกำยำกล้ามใหญ่ทั้งหลาย เชิญรีบมาสมัครเข้าโรงเรียนของเราด่วน เราจะช่วยลดกล้ามของคุณให้เป็นไม้ซีกได้! รับรองได้ผลแน่นอน!” จะมีใครเข้าแถวมาเป็นไม้ซีกไหม ก็คงจะไม่มีแน่นอน มันฟังดูน่าขำเหลือเกิน
แต่คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามว่าโรงเรียนของพระคริสต์จะเป็นอย่างนั้น พระองค์กำลังจะรีดคุณให้เป็นไม้ซีก จะมีใครบ้างไหมที่กระหายอยากมาสมัครโรงเรียนของพระคริสต์กันบ้าง หลายปีมาแล้วผมได้เข้าในโรงเรียนนั้น แล้วดูสิว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับผม คุณเห็นเรือนร่างที่ดูงามของผมบ้างไหม
พละกำลังในวัยหนุ่มของผม
ผมได้เล่าถึงชีวิตในวัยหนุ่มของผมให้กับคริส วองพี่น้องที่ขับรถไปรับผมที่สนามบินว่า ผมเป็นนักกีฬา ไม่มีความสนใจวิชาที่น่าเบื่ออย่างประวัติศาสตร์ วรรณคดี และเคมีเลย ใครจะมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระอย่างนั้นเมื่อสามารถจะลงเล่นกีฬาในสนามได้ ผมใช้เวลาทั้งวันอยู่ในสนามกีฬา หลังจากทำอย่างนี้ได้สองสามปี ผมก็กำยำมีกล้ามเนื้อแน่นเป็นมัดๆ ผมไม่ต้องไปอิจฉาคนในรูปโฆษณามากนัก เพราะผมก็มีกล้ามแน่นปึกของผมเองแล้ว ผมเคยชื่นชมตัวเองตรงหน้ากระจก ผมจะเต๊ะท่าของนักกล้าม เบ่งกล้ามหน้าอกขยับขึ้นขยับลง ดูเท่ห์มาก (ถ้าคุณเห็นผมตอนนี้แล้วคงนึกไม่ออกเลยใช่ไหมว่าเคยเป็นอย่างนั้นจริง)
ผมจะมองดูกล้ามเนื้อท้องที่เป็นแผ่นหนาของผมในกระจก ผมชกมวยบ้าง มันสำคัญกับผมที่จะมีกล้ามเนื้อหน้าท้องเอาไว้รับหมัดเมื่อโดนต่อย ผมชื่นชมตัวเองทุกวัน คุณพ่อเคยถามผมว่า “ทำอะไรอยู่ในห้องน้ำ” ผมตอบว่า“แปรงฟันอยู่ครับ!” พ่อจะพูดว่า “ทำไมถึงนานอย่างนั้น” ที่จริงการแปรงฟันนั้นใช้เวลาแค่ครึ่งนาทีก็เสร็จ แต่เวลาที่เหลือผมกำลังชื่นชมตัวเองอยู่ แต่เมื่อคุณเห็นผมตอนนี้คุณก็คงจะไม่เชื่อว่าผมจะเป็นอย่างนั้นได้ ผมเป็นอย่างนั้นจริงๆในวัยหนุ่มของผม
ผมอยู่ในสนามกีฬาตลอดทั้งวันเล่นซอฟบอล เบสบอล บาสเก็ตบอล แบดมินตัน และกีฬาทุกชนิด กีฬาที่ผมชอบก็คือว่ายน้ำ เบสบอล ซอฟบอล และศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว(ผมทุ่มเทเวลาให้กับมันอย่างมาก)
แล้วเรื่องการเรียนของผมล่ะ ในเวลาส่วนน้อยที่เหลือผมก็พยายามเจียดให้กับการเรียน การเรียนเป็นแค่กิจกรรมยามว่างเท่านั้น ผมมีกลยุทธ์ของผมที่ใช้ได้ผลอย่างดี ผมเคยสงสัยว่าทำไมคนจึงทุ่มเทเวลาเยอะแยะให้กับการเรียนกันนัก วิธีของผมนั้นง่ายมากคือเก่งแค่สองวิชาผมก็สามารถผ่านการสอบคัดเลือกเข้าเรียนประถมและมัธยมที่ไหนก็ได้ (ในประเทศจีน โรงเรียนจะรับนักเรียนด้วยการสอบเข้า) พ่อของผมก็คงคิดว่าลูกชายคนนี้ที่ใช้เวลาอยู่กับสนามกีฬาทั้งวันคงจะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมกับเขาไม่ได้หรอก ผมไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมดังๆสี่แห่งในเซี่ยงไฮ้และสอบได้ทุกที่ ทำเอาคุณพ่อของผมงงมาก
เคล็ดลับของผมนี่ง่ายมาก นั่นก็คือผมจะให้เก่งวิชาภาษาอังกฤษ (ซึ่งง่ายมากสำหรับผมเพราะผมเคยเรียนโรงเรียนประถมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ) ผมอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมาเยอะแยะฉะนั้นมาตรฐานการใช้ภาษาอังกฤษของผมในประเทศจีนจึงนับได้ว่าสูงมาก ผมจะได้คะแนนสูงกว่า 90 เปอร์เซนต์เสมอโดยไม่ต้องเรียนเลย ดังนั้นจึงเหลือเพียงวิชาเดียวที่ผมจะต้องเรียนคือวิชาคณิต ผมรักวิชาคณิตศาสตร์เพราะผมใช้มันเหมือนกับการเล่มเกม ที่สนุกกับมันและยังได้คะแนนดีด้วย การเล่นกับตัวเลขนั้นสนุกและเป็นงานที่ไม่หนัก คณิตศาสตร์ก็เป็นอีกวิชาหนึ่งที่ได้เกือบเต็ม 100 เสมอ ครูบางคนจะไม่ให้คะแนนเต็มหรอก เพราะฉะนั้นก็จะได้แค่ 99 เปอร์เซ็นต์ รับรองได้ว่าคุณจะเข้าโรงเรียนไหนๆก็ได้ทั้งนั้นถ้าได้คะแนนแค่วิชาสองวิชานี้สูงกว่า 90 เปอร์เซนต์ และทำวิชาที่น่าเบื่ออื่นๆแค่พอผ่าน อย่างเช่นวิชาเคมี ที่ผมได้แค่ 70 เปอร์เซ็นต์ นี่เป็นเคล็ดลับที่ทำให้ผมมีเวลาได้เล่นกีฬาทั้งวันและก็ยังทำให้เรือนร่างน่าประทับใจได้ด้วย
พระเจ้าทรงสอนเราให้เป็นคนที่อ่อนแอ
แต่เมื่อองค์ผู้เป็นเจ้าทรงฉวยผมไว้ พระองค์ก็ทรงทำงานในผมจริงๆ โรงเรียนของพระคริสต์นำผมไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม จากคนที่บึกบึนมาเป็นไม้ซีก หลายคนที่เคยฟังคำพยานของผมจะรู้ว่าหลังจากผมได้รู้จักพระเจ้า ผมต้องอยู่ในสภาพที่อดอยากจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ผมดูน่าสังเวชมากในกระจก ซี่โครงข้างซ้ายใช้ดีดเป็นกีต้าร์และข้างขวาใช้ดีดเป็นแบนโจได้เลย กล้ามเป็นมัดๆของผมหายไปไหนหมด มันละลายหายไปหมด ไม่มีอะไรเหลือให้เห็นอีกเลย พระเจ้าทรงทำงานในทิศทางตรงกันข้าม ทรงลดความแข็งแกร่งของผมให้อ่อนแอลง (เปรียบเทียบสดุดี 102:23)
คนที่เคยแข็งแรงจะรู้ว่ามันทำให้คุณรู้สึกแย่แค่ไหน ใครๆก็อยากให้ร่างกายใหญ่บึกบึนสมชายชาตรีกันเพราะนอกจากจะดูดีแล้วยังเป็นผลดีกับจิตใจด้วย มันทำให้คุณรู้สึกมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง คุณกำลังมีความสุขเหลือเกินกับการโลดแล่นเข้าสู่วงการกีฬายังไงก็ยังงั้น ตอนนี้ผมจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกแบบนั้นเป็นอย่างไร เวลานี้ผมอ่อนแอเสียเป็นส่วนใหญ่ และยิ่งผมก้าวหน้าในโรงเรียนของพระคริสต์มากเท่าใดผมก็ยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงต้องการประทานกำลังให้กับเรา เพราะฉะนั้นพระองค์จึงต้องสอนให้เราเป็นคนอ่อนแอ
นี่ไม่ได้หมายความว่า พระคำของพระเจ้าจะสอนให้เราละเลยสุขภาพของเรา หรือจะให้จงใจทำลายเสีย มีตัวอย่างที่ผิดๆของคนที่คลั่งไคล้ทำลายสุขภาพของตนด้วยการอดอาหารนานๆ เราต้องจำไว้ว่า “ท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง เพราะว่าพระเจ้าทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง” (1 โครินธ์ 6:19-20) ร่างกายของเราเป็นขององค์ผู้เป็นเจ้า ทรงซื้อเราด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง และเราไม่มีสิทธิ์ที่จะทำร้ายร่างกายนี้ มีแต่พระองค์เท่านั้นที่มีสิทธิ์กับร่างกายนี้ เพราะด้วยพระปัญญาที่ล้ำเลิศของพระองค์นั้นพระองค์ทรงรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเราและสำหรับคริสตจักรของพระองค์ พระองค์เท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าจะทำวิธีใดกับเรา ที่จะให้ฤทธานุภาพและพระสิริของพระองค์สามารถสำแดงออกมาให้เห็นได้ทางความอ่อนแอของเรา
ฤทธานุภาพก็ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ
เปาโลก็มีประสบการณ์อย่างเดียวกันนี้ เขากล่าวใน 2 โครินธ์ 12:7 ว่า “และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป เนื่องจากการสำแดงอันยิ่งใหญ่ ก็ทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นทูตของซาตานที่คอยโบยตีข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะไม่ยกตัวเกินไป” แม้แต่อัครทูตเปาโลเองก็สามารถหยิ่งผยองได้ง่าย ดังนั้นเขาจึงต้องทุกข์กับความเจ็บปวดในร่างกายของเขา ในข้อ 8 และ 9 บอกว่า “เรื่องหนามนั้น ข้าพเจ้าวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าแล้วว่า “การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น”
เปาโลได้อธิษฐานถึงสามครั้ง และทั้งสามครั้งพระเจ้าก็ตอบว่า “ไม่ได้” ฤทธานุภาพของพระองค์จะปรากฏเต็มที่ได้อย่างไร ก็จะปรากฏอย่างเต็มที่ในความอ่อนแอ นั่นเป็นหลักการที่อยู่เบื้องหลังคำกล่าวอื่นๆของเปาโลที่เราได้อ่าน เปาโลเรียนรู้เคล็ดลับฤทธานุภาพของพระเจ้าว่า จะสำแดงก็ต่อเมื่อเราอ่อนแอเท่านั้น
เปาโลพูดต่อไปว่า “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า” เขาไม่ใช่แค่ยอมรับในความอ่อนแอเท่านั้นแต่เขายังอวดมันด้วย เขายอมรับหนามในร่างกายของเขาด้วยความยินดี
คุณลองเอาหนามกุหลาบมาทิ่มเนื้อของคุณดูสิก็จะรู้ว่ามันเจ็บแค่ไหน คำว่า “หนาม” แสดงถึงความเจ็บปวด เปาโลมีหนามอยู่ในเนื้อที่ทำให้มีความเจ็บปวดอย่างมาก เปาโลมีความเจ็บป่วยในร่างกายที่ทำให้เขาทรมานอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ได้พูดแบบยอมรับสภาพว่า “ไปๆมาๆและสุดท้ายผมก็ต้องยอมรับหนามนี้” แต่ตรงกันข้ามเขาชื่นชมยินดีในความเจ็บปวดและความอ่อนแอของเขา เปาโลบ้าไปแล้วหรือ ไม่ได้บ้าเลยเพราะเขารู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาอ่อนแอ ฤทธานุภาพของพระคริสต์ก็จะ“อยู่ใน”เขา (คำกรีกนี้หมายความว่า “ดำเนินอยู่”)
ในข้อ 10 เปาโลกล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้แหละเพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)” แล้วเปาโลก็เน้นย้ำถึงเคล็ดลับของฤทธานุภาพว่า “เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น” ตอนนี้เรารู้ว่าทำไมเปาโลจึงเลือกที่จะเป็นคนอ่อนแอ นั่นก็คือฤทธานุภาพของพระเจ้าจะปรากฏเต็มที่ ถ้าคุณได้รู้เคล็ดลับนี้คุณก็จะไม่เสแสร้งเป็นคนเข้มแข็งหรือพยายามทำให้คนอื่นประทับใจความเข้มแข็งของคุณ
คุณรู้สึกแย่บ้างไหม ถ้ารู้สึกอย่างนั้นคุณก็กำลังรู้สึกอ่อนแอ เวลานี้แหละที่เป็นโอกาสให้พระเจ้าทรงสำแดงความเข้มแข็งของพระองค์ในคุณ แล้วทำไมคุณจึงพยายามที่จะปิดความรู้สึกอ่อนแอเอาไว้ล่ะ ทำไมจึงไม่อ้าแขนรับความจริงว่าท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าได้ทรงนำคุณมาถึงจุดที่อ่อนแอ เหน็ดเหนื่อย และหมองเศร้าสุดๆ ความหมองเศร้าก็คือความผิดหวัง อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนหมดกำลังใจ ความล้มเหลวก็อย่างหนึ่งล่ะ ความล้มเหลวเป็นสิ่งแย่ไหม ความล้มเหลวนี่แหละที่พระเจ้าจะสามารถทำงานในชีวิตของคุณเป็นครั้งแรก! พระองค์ต้องนำคุณลงต่ำ เมื่อพระคริสต์ถูกตอกตรึงบนกางเขน พวกสาวกของพระองค์คิดว่าพระองค์ทรงล้มเหลวอย่างบริบูรณ์ ความตายของพระองค์ดูเหมือนจะทำให้พันธกิจทั้งสิ้นในโลกนี้ของพระองค์ล้มเหลวอย่างใหญ่หลวง โดยไม่รู้สักนิดว่า “ความล้มเหลว” ที่ว่านั้นเป็นชัยชนะของพระเจ้าเหนือความบาปและความตายนั่นเอง
เปาโลกล่าวใน 1 โครินธ์ 1:25 ว่า “เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังมีกำลังมากยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์” เปาโลได้เรียนเคล็ดลับนี้อย่างน่าประหลาดใจ
ให้เรามาดูห้าสิ่งที่เปาโลชื่นชมที่เราเพิ่งอ่านใน 2 โครินธ์ 12:10 “ในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก” ผมอยากให้ดูห้าสิ่งอย่างคร่าวๆที่เปาโลรับด้วยความยินดี
1. ความอ่อนแอ
คำแปลว่า “ความอ่อนแอ” มีหนึ่งในสองความหมาย และทั้งสองความหมายก็ใช้กับเปาโลได้อย่างเหมาะเจาะ ความอ่อนแอหมายถึงความอ่อนกำลัง และยังหมายถึงความเจ็บป่วยด้วย นี่เองที่บางโรงพยาบาลจะถูกเรียกว่าเป็นที่สำหรับ “คนอ่อนแอ” เพราะคนที่อ่อนแอ(เจ็บป่วย)จะไปที่นั่นเพื่อรับการรักษา
คุณคิดว่าเป็นเรื่องไม่ดีไหมที่พระเจ้ายอมให้คุณเจ็บป่วย เมื่อผมเจ็บหลังพวกคุณรู้สึกเสียใจกับผมไหม ขอบคุณมากที่เห็นใจ แต่เคยเกิดอย่างนี้กับคุณไหมที่การเจ็บป่วยนี้พระเจ้ากำลังทำให้ผมเข้มแข็งขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณ ถ้าคุณได้รู้อย่างนั้นคุณก็จะขอบพระคุณพระเจ้ากับทุกความอ่อนแอและความเจ็บป่วย เราเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องร้ายก็เพราะเราไม่เข้าใจถึงเคล็ดลับในฤทธานุภาพของพระเจ้า เมื่อเราปวดหัว เราก็จะสงสัยว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงเมินเฉยอย่างนั้น แต่พระเจ้าจะสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ในความอ่อนแอของเราเท่านั้น นี่เองที่พระเกียรติทั้งสิ้นจึงกลับไปที่พระองค์
หลายปีมาแล้ว ขณะที่ผมเทศน์ที่เมืองลอนดอน ประเทศคานาดา(ไม่ใช่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ) ผมมีหมายกำหนดการหลายคืนที่ต้องไปพูดกับกลุ่มสามัคคีธรรมของคริสเตียนคนจีนในมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ออนตาริโอ แต่เช้าวันนั้นเมื่อลุกขึ้น ขาของผมก็ทรุดฮวบและผมก็ล้มลงบนเตียง ขาของผมขยับไม่ได้ ผมยืนไม่ได้ ผมพยายามจะลุกขึ้นอีกและก็ล้มลงไปอีก ผมจึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นนี่ ผมอ่อนกำลังจริงๆ เพราะจากที่ต้องเทศน์วันแล้ววันเล่า ผมลองลุกขึ้นอีกสองสามครั้งแต่ก็ยังขยับขาไม่ได้ ผมพักอยู่กับสมาชิกของกลุ่มสามัคคีธรรมนี้ ผมจึงเรียกเขาเข้ามาในห้องบอกเขาว่า “ขอโทษด้วย ผมลุกไม่ไหว ขาของผมไม่มีแรง” พวกเขาดูกังวลมากจึงพูดว่า “เราได้ปิดประกาศไปแล้วว่าคุณจะเป็นนักเทศน์ในคืนนี้ จะมีคนเยอะมาฟังคุณเทศน์ ตอนนี้คุณก็เกิดเทศน์ไม่ได้แล้ว เราไม่มีเวลาจะหานักเทศน์คนอื่นมาแทน แต่แม้เราจะหาใครมาแทนคุณได้ คนก็จะผิดหวังไปตามๆกันเพราะไม่ได้เป็นนักเทศน์ที่ประกาศเอาไว้” ผมตอบว่า “ผมรู้ว่าทำให้พวกคุณต้องยุ่งยาก” พวกเขาจึงปรึกษาผมว่าควรจะทำอย่างไรดี ผมตอบว่า “ให้พวกคุณอธิษฐาน” พวกเขาจะตามหมอแต่ผมบอกว่า “ไม่ต้องเรียกหมอ หมอก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ขอให้อธิษฐานก็แล้วกัน ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าผมก็จะได้เทศนาคืนนี้” พวกเขามองดูผมนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงด้วยความกังวลว่าผมจะไปเทศน์ในที่ประชุมได้อย่างไร แต่ผมพูดกับพวกเขาว่า “ขอให้มอบไว้ในพระหัตถ์ขององค์ผู้เป็นเจ้า”
เมื่อเวลาผ่านไปผมก็ยังลุกขึ้นไม่ได้ ไม่มีกำลังเลย มันเป็นประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์ที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ผมได้เปลี่ยนจากชายที่กล้ามเป็นมัดๆ มาเป็นคนที่ไม่สามารถแม้จะลุกขึ้นจากเตียง ช่างน่าเวทนาเสียจริง แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นเพื่อว่าพระเจ้าจะสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์
ครึ่งชั่วโมงก่อนประชุมจะเริ่มพวกผู้นำก็ยังมีสีหน้าวิตก ผมพูดว่า “เอาล่ะ โดยพระคุณของพระเจ้า ผมจะลุกขึ้นโดยความเชื่อ” แล้วผมก็ลุกขึ้น “โอ้โฮ เขาลุกได้แล้ว! แต่เขาจะเดินไปถึงประตูโดยไม่ล้มได้หรือ” ผมเดินไปถึงประตู “ดีจัง แต่จะเดินไปถึงรถได้ไหม” และผมก็เข้าไปนั่งในรถ เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย ผมจะต้องขึ้นบันไดหลายขั้นมาก ผมก็เดินขึ้นไปตามขั้นบันได และในคืนนั้นผมก็ได้เทศนาด้วยฤทธานุภาพขององค์ผู้เป็นเจ้า (ผมรู้ว่ามันไม่ได้มาจากตัวของผมเอง)ที่โอบอุ้มผมขึ้นเหมือนด้วยปีกของนกอินทรีย์ ผมบินขึ้นและเทศน์ด้วยกำลังและฤทธานุภาพนั้นที่ผมเห็นสีหน้าของผู้นำเหล่านั้นที่จ้องผมอย่างประหลาดใจว่า “มันเป็นไปได้หรือนี่”
นั่นเป็นการสำแดงฤทธานุภาพของพระเจ้าในความอ่อนแอของผม เป็นวิธีที่เปาโลก็คงใช้เช่นเดียวกัน “ขอทรงทำให้ข้าพระองค์อ่อนแอเพื่อที่ฤทธานุภาพของพระองค์จะได้ทรงสำแดง” หลายครั้งที่ผมต้องเทศน์ขณะเมื่ออ่อนแออย่างที่สุด เหมือนกับเมื่อไม่นานนี้ในประเทศสิงคโปร์ที่ผมป่วยและมีไข้ เหงื่อท่วมตัว ผมก็ยันกายของผมขึ้นและตรงไปที่ธรรมาสน์ องค์ผู้เป็นเจ้าทรงให้ความอ่อนแอกับผมเพื่อว่ากำลังทั้งสิ้นจะมาจากพระองค์
มีอีกครั้งหนึ่งที่ผมเทศนาที่เอ็ดมันตั้น ประเทศคานาดา ผมกำลังมีไข้สูง และพวกเขาก็บอกว่า “คุณเป็นนักเทศน์ที่ลงประกาศไว้ คนจะมาฟังคุณเทศน์คืนนี้กัน” ผมถามศิษยาภิบาลอีกคนหนึ่งว่าเขาอยากมาเทศน์แทนผมไหม แต่เขาตอบว่า “พวกเขาไม่อยากฟังผมหรอก พวกเขาอยากจะฟังคุณ” ผมจึงพูดว่า “ดูผมสิ ไข้สูงออกอย่างนี้ เหงื่อชุ่มไปหมดทั้งๆที่อุณหภูมิในห้องก็พอดีๆ” แต่เขาตอบว่า “ไม่ได้ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ คนจะผิดหวังมาก” ตัวเขาเองก็เป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงแต่เขาก็ปฏิเสธที่จะเทศน์แทนผม ฉะนั้นผมจึงจำต้องไปที่ธรรมาสน์เทศน์ด้วยเหงื่อที่ท่วมตัวเพราะพิษไข้ ผมเทศนาขณะอยู่ในความเจ็บป่วยและอ่อนแออย่างที่สุด
ทำไมพระเจ้าจึงอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น พระองค์ก็รู้ว่าคุณกำลังจะเทศนา แล้วทำไมไม่ให้ไข้ลดลง แต่พระองค์กลับปล่อยให้ผมเทศน์ในความอ่อนแอ แม้ในเวลาที่มีไข้สูง ในเวลาที่หัวไม่ค่อยจะแล่น แต่นี่แหละคือเคล็ดลับของชีวิตคริสเตียน
ความอ่อนแอไม่ได้เป็นความอ่อนแอทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นความรู้สึกอ่อนแอภายในด้วย ใน 2 โครินธ์ 11:32-33 เปาโลเล่าถึงเหตุการณ์ในเมืองดามัสกัส ที่เขาถูกหย่อนลงมาในกระบุงใหญ่ทางหน้าต่างกำแพงเมือง มันน่าอดสูและไร้เกียรติสิ้นดี! คุณลองนึกดูสิว่า อัครทูตคนสำคัญถูกหย่อนลงมาจากกำแพงเมืองในเข่งผักเน่าๆ ไม่มีวงดุริยางค์หรือพรมไว้คอยรับอัครทูตผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขาอยู่ในเข่งผักที่คงจะมุดอยู่อย่างมิดชิดในกองผักเพื่อไม่ให้ไครเห็นเขา เกียรติของเขามีอยู่หรือเปล่า ความอ่อนแอในแบบนี้ก็คือความอ่อนแอที่รู้สึกอยู่ข้างใน
เมื่อคุณรู้สึกอ่อนแอ คุณสามารถจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนั้นได้ไหม เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าพอใจในความอ่อนแอของข้าพเจ้า และยังอวดความอ่อนแอเหล่านั้น” นั่นเป็นความคิดแบบใหม่หมดใช่ไหม
2. การสบประมาท
เปาโลมีความยินดีในการถูกสบประมาท คำว่า“การสบประมาท” หมายถึงความอัปยศ ความอดสู ความขายหน้า การปฏิบัติไม่ดี ถูกเหยียดหยาม คุณจะสามารถยินดีได้ไหมเมื่อคนดูถูก เยาะเย้ย หรือทำไม่ดีกับคุณ เปาโลพูดว่า “ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าถูกสบประมาท”
ผมเคยไปประกาศตามบ้าน ที่จริงตอนนี้ไม่ได้ทำอีกต่อไป มีครั้งหนึ่งที่เวลส์ ในสหราชอาณาจักรขณะผมกำลังประกาศไปตามบ้าน คุณเคยลองอย่างนี้บ้างไหมที่เคาะตามประตูบ้านและพูดกับคนที่มาเปิดประตูว่า “สวัสดีครับ ผมมีใบปลิวข่าวดีให้คุณ” แล้วก็มีเสียงดัง “ปัง!” ประตูปิดดังปังใส่หน้าคุณ คุณจะทำยังไง จะพูดว่า “คุณรู้หรือเปล่าว่า คนสำคัญที่คุณกำลังพูดอยู่นี้เป็นใคร ถ้าคุณรู้ว่าผมเป็นใครคุณก็จะไม่ปิดประตู้ใส่หน้าผมอย่างนี้หรอก!”
คุณจะรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นและทำให้อับอาย แต่คุณรู้ไหมว่าผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนั้น “ขอบคุณพระเจ้าที่ถูกประตูปิดใส่หน้าผม ขอบคุณที่ผมได้ทนทุกข์ ที่ต้องรู้สึกอับอายขายหน้าเพียงเล็กน้อยเพื่อพระองค์” เพราะว่าจากเบื้องหลังครอบครัวของผมแล้ว การปิดประตูใส่หน้าอย่างนี้เป็นสิ่งที่หยาบช้ามาก เป็นใครก็รับไม่ได้จริงๆ ในประเทศจีนสมัยก่อนถ้ามีใครทำอย่างนี้ใส่หน้าคนที่มีอำนาจ คนนั้นก็จะต้องถูกยิงเป้าแน่นอน เพราะฉะนั้นการกระทำที่ดูหมิ่นอย่างนี้จึงเป็นประสบการณ์ใหม่ที่น่าอัศจรรย์สำหรับผม
คำว่า “สบประมาท” ยังหมายความอีกว่า ความย่อยยับ ความเสียหาย หรือความทุกข์ยากลำบาก ความทุกข์ยากลำบากหมายถึงการถูกไล่ออกจากบ้านเพราะเชื่อในพระคริสต์ สุดท้ายคุณต้องไปอาศัยนอนตามม้านั่งในสวนสาธารณะ หรือไม่คุณก็จะเป็นตัวตลกขบขันของพวกเพื่อนและญาติพี่น้องของคุณ เขาจะเรียกคุณว่าเป็นคนเสียสติไปแล้วที่มาเป็นคริสเตียน ทุกคนมองบึ้งตึงกับคุณหรือไม่ก็ด้วยยิ้มอย่างสมเพชว่า “เธอน่าจะไปอยู่โรงพยาบาลประสาท” นี่เป็นการทนต่อการสบประมาทเพื่อเห็นแก่พระคริสต์
วันหนึ่งคุณอาจะต้องพูดกับเจ้านายของคุณว่า “ขอโทษครับ ผมช่วยคุณบิดเบือนตัวเลขไม่ได้” “คุณทำไม่ได้เหรอ คุณนี่ช่างโง่มาก! รู้ไหมว่าคุณต้องเจออะไร คุณจะไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ผมจะตัดเงินเดือนของคุณอีกด้วย!” คุณกำลังถูกดูถูก เงินเดือนของคุณก็ถูกตัด และสิ่งอื่นๆก็เริ่มเกิดขึ้นกับคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร คุณจะพูดเหมือนกับเปาโลได้ไหมว่า “ผมยินดีกับสิ่งนี้”
ให้เราดูเรื่องที่มักเกิดขึ้น เมื่อคุณอธิษฐานต่อหน้าคนอื่นๆและมีคนมาพูดกับคุณว่า “ไม่เคยรู้ว่าคุณก็เป็นหลวงพ่อกับเขาด้วย! เช้านี้คุณใส่วงรัศมีบนหัวมาด้วยหรือเปล่า” คุณชอบอย่างนั้นไหม ไม่มีใครชอบอย่างนั้นหรอก แต่คุณจะยังยินดีได้ไหม นั่นก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ความยากลำบากเกี่ยวข้องกับความจำเป็นของเรา “ความยากลำบาก” สามารถหมายถึงได้หลายอย่างในภาษากรีก (เมื่อผมกำลังอธิบายความหมายต่างๆของคำนี้ ผมกำลังจะให้ความหมายของภาษากรีกกับคุณ) คำ “ความยากลำบาก” โดยทั่วไปหมายถึงความกดดันทุกชนิด เราอยู่ในโลกที่ตึงเครียด การนอนหลับกลางคืนก็ยากขึ้นเพราะเส้นประสาทของเราตึงเปรี๊ยะ เราจึงต้องการของมึนเมาหรือไม่ก็ยานอนหลับช่วยทำให้เราสงบลง แต่ตรงนี้เปาโลกล่าวว่า เขายินดีในความเครียดและความกดดันที่มาจากสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ
สมมุติว่าคุณกำลังจะนำศึกษาพระคัมภีร์ คุณกำลังนำศึกษาพระคัมภีร์ที่พี่น้องสมาชิกทุกคนคาดหวังกับคุณไว้สูงมาก มีความกดดันและความเครียดเกิดขึ้น มันกลายเป็นเรื่องหนักที่ทำให้คุณตกลงใจจะไม่นำกลุ่มอีกเลย และที่ซ้ำร้ายก็คือพวกเขาวิจารณ์การนำศึกษาพระคัมภีร์ของคุณ คุณเตรียมอย่างหนักแต่พวกเขาก็ยังบอกว่า “ทำไมคุณพูดผิด ทำไมคุณอ้างข้อพระคัมภีร์ผิด เปิดหน้าพระคัมภีร์ก็ผิดด้วย” คุณตอบตัวเองว่า “ผมทำอย่างดีที่สุดแล้ว ดูสิกลับได้รับแต่คำติเตียน” นั่นคือความกดดันและความเครียด
แต่เปาโลขอบพระคุณ นี่คือสิ่งที่เปาโลหมายถึงในการจงอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของคุณ และการยอมรับความอ่อนแอ ความยังไม่ดีพอ และการเสียเกียรติด้วยความยินดี คุณเข้าใจเปาโลหรือยัง เขามีความคิดที่ต่างกับคนอื่น การจงอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดไม่ได้เป็นการเสแสร้งว่าเข้มแข็ง หรือเป็นในสิ่งที่คุณไม่ได้เป็น แต่เป็นการยอมรับความกดดันทุกอย่างที่มีทั้งภายในและภายนอกด้วยความยินดี นี่แหละคือชีวิตคริสเตียน
เปาโลได้กล่าวต่อไปถึงสิ่งที่หนักขึ้นที่ไม่ได้เกิดกับเราในตอนนี้ด้วยซ้ำ คำกรีกที่แปลว่า “ความเครียด” หรือ “ความยากลำบาก” ตามพจนานุกรมกรีกแล้วยังสามารถหมายถึงการกดขี่ข่มเหง หรือแม้แต่การทรมานอีกด้วย เปาโลขอบคุณพระเจ้าสำหรับความเจ็บปวด การถูกโบยตี และการถูกหินขว้าง ไม่ใช่แต่เฉพาะที่ถูกปฏิเสธหรือถูกเยาะเย้ย (2 โครินธ์ 11:24-27)
ใน 2 ทิโมธี 3:11 เปาโลพูดถึงการกดขี่ข่มเหงที่เขาได้รับในเมืองอันทิโอก อิโคนิอุม และลิสตรา การอ้างอิงถึงเหตุการณ์ที่บันทึกในกิจการ 13 และ 14 การกดขี่ข่มเหงแบบไหนที่ยากเกินที่คุณจะทนได้ ในเมื่อคุณไม่ได้อยู่ในประเทศจีน ผมก็จะไม่พูดถึงการกดขี่ข่มเหงในจีน ตรงนี้คุณเจอกับการกดขี่ข่มเหงอะไรบ้าง สิ่งร้ายที่สุดก็คือการใส่ร้าย (เมื่อมีคนพูดเรื่องไม่จริงเกี่ยวกับตัวคุณ) ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะต้องพิสูจน์ตัวเอง เพราะยิ่งคุณพยายามจะพิสูจน์ตัวเองสภาพการณ์ก็จะยิ่งแย่ลง เปาโลก็มีประสบการณ์นี้ในอันติโอกและอิโคนิอุม เขาถูกใส่ร้ายอย่างต่อเนื่อง และคำสอนของเขาก็ถูกหาว่าบิดเบือน ตัวเขากับผู้ร่วมงานของเขาถูกพูดถึงแต่ในทางที่ไม่ดี (อย่างเช่น โรม 3:8) เขายังถูกหินขว้างในเมืองลิสตราซึ่งเป็นผลมาจากการใส่ร้ายต่อต้านเขา (กิจการ 14: 8-20) การใส่ร้ายเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การทำร้ายร่างกาย ที่ให้เห็นว่าการโจมตีนั้นถูกต้อง พวกเขาจึงพูดว่าคุณเป็นคนเลวที่สมควรจะรับโทษทัณฑ์ ดังนั้นเปาโลจึงถูกหินขว้างและถูกทิ้งให้ตาย แต่กระนั้นทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่เปาโลขอบพระคุณ
ลองคิดดูถึงการถูกหินขว้างอันน่าสยดสยองที่เปาโลได้รับในเมืองลิสตรา เขาถูกขว้างจนสิ้นสติและเลือดอาบ ถูกทิ้งอยู่ข้างทางและใครๆก็คิดว่าตายแล้ว พวกสาวกก็ยังคิดด้วยว่าเขาตายแล้ว แต่เขาก็ลุกขึ้นด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้าและทำพันธกิจของเขาต่อไป ความจริงแล้วการที่คนคิดว่าเขาตายแล้วนั้นก็แสดงว่าหินเหล่านั้นจะต้องขว้างถูกเขาแรงมาก จนอาจทิ้งรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดไว้บนใบหน้าของเขา เขารับรอยแผลนั้นเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ คุณจะยอมมีแผลเป็นแบบนั้นไหม พี่น้องผู้หญิงอาจจะรู้สึกได้ง่ายกับเรื่องนี้มาก และผมคิดว่าพี่น้องผู้ชายคงจะไม่แพ้กัน คุณจะรู้สึกอับอายไหมเมื่อต้องเดินผ่านผู้คนด้วยใบหน้าที่มีรอยแผลฉกรรจ์จากที่โดนหินขว้าง แต่เปาโลก็หน้าชื่นกับมัน เขาไม่ได้รู้สึกอับอายกับความอัปลักษณ์ทางร่างกาย เชื่อแน่ว่ามันคงจะดูน่าอับอายแต่เปาโลกับหน้าชื่นตาบานกับมัน ตอนท้ายของกาลาเทีย (6:17) เปาโลกล่าวว่า “ขออย่าให้ใครมารบกวนข้าพเจ้าเลย เพราะว่าข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซูติดอยู่ที่กายของข้าพเจ้าแล้ว”
ตอนนี้เราคงเริ่มจะเห็นระดับความสำเร็จของอัครทูตเปาโลแล้วว่าทำไมพระเจ้าจึงใช้เขาอย่างมากมาย เปาโลเป็นคนที่ชื่นชมยินดีในความอ่อนแอทุกอย่าง ตั้งแต่ความเจ็บป่วยไปจนถึงความอัปลักษณ์ ตั้งแต่ความเจ็บปวดข้างในไปจนถึงความทุกข์ทรมาน เขาพูดถึงความทุกข์ทรมาน ค่ำคืนที่นอนไม่ได้ และความทุกข์ยากทุกอย่าง ดังเช่น ความอดอยากและความหิวโหย
คำ “สเตโนโคเรีย” ในภาษากรีกหมายความตรงตัวว่า “ทางแคบ” หรือ “ถูกบีบให้อยู่ในที่แคบ” ในทางเปรียบเทียบหมายถึงความทุกข์ยากและความลำบาก เปาโลทนต่อความลำบากในทุกรูปแบบที่รวมทั้งความหิวโหย คุณชอบที่จะหิวโหยไหม ถ้าไม่ได้ทานอาหารมื้อหนึ่งคุณก็จะรู้สึกอ่อนระโหยแล้ว แต่นี้เปาโลใช้ชีวิตอยู่กับความหิวโหย ผมเองก็รู้จักความหิวโหยดี ที่ต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพนั้นถึงสองปีครึ่ง พระเจ้าทรงให้ผมผ่านโรงเรียนของความหิวโหย และทรงให้ผมยุบลงจนหนังหุ้มกระดูก
คุณจะสามารถชื่นชมยินดีกับความอ่อนแอของคุณได้ไหม
ให้เรามาสรุปกัน เราต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าทางเดียวที่ฤทธานุภาพของพระเจ้าจะมีอย่างเต็มที่ได้ ก็คือในความอ่อนแอของเรา เพราะฉะนั้นขั้นแรกก็คือการยอมรับความอ่อนแอของเรา เปาโลยินดีในความอ่อนแอของเขา เพราะเมื่อคริสตจักรมีคนอ่อนแออยู่มาก เราก็จะมีความชื่นชมยินดีในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
คุณรู้สึกทุกข์ร้อนไหมที่ระดับการศึกษาของคุณไม่ได้มาตรฐานของคนอื่น มันทำให้คุณน้อยเนื้อต่ำใจไหม พี่น้องที่รักถ้ามันมีผลกับคุณ ก็หมายความว่าคุณยังไม่เข้าใจหลักการของความอ่อนแอ พระเจ้าไม่สนใจกับการศึกษาของคุณ มนุษย์สนใจ คุณสนใจ แต่พระเจ้าไม่สนใจ พระเจ้าไม่ได้กังวลว่าคุณมีปริญญาหรือไม่มี ในคริสตจักรของพระคริสต์ถ้ามีพี่น้องคนใดมีชีวิตที่น้อยเนื้อต่ำใจเพราะด้อยการศึกษา เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเราจะต้องอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของเราในความอ่อนแอ และด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น เมื่อคุณอ่อนแอ เมื่อนั้นแหละที่ฤทธานุภาพของพระเจ้าจะสำแดงออกมา
หลายคนวิตกกับเรื่องขี้ปะติ๋ว บางคนทุกข์ร้อนว่าเขาเตี้ยหรือสูงเกินไป บางคนอาจน้อยใจที่ตัวเตี้ยแค่ 150 หรือ 155 เซ็นต์ เขาก็เลยซื้อรองเท้าส้นสูงๆ เหมือนว่าการเป็นคนสูงนั้นสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด ผมพยายามจะเข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญมาก ครั้งหนึ่งผมอยู่ในห้างที่กัวลาลัมเปอร์ ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งสูง 195 ผมจับตาดูเขาอยู่ครู่หนึ่งจึงรู้ว่าเขาเป็นสายสืบของห้างนั้น เขาสูงมากจนทำให้มองตามชั้นสูงๆได้เพื่อจะเห็นคนที่มาขโมยของในห้าง อย่างน้อยก็มีข้อได้เปรียบหนึ่งอย่างของคนสูง คือคุณจะเป็นจอสัญญาณที่เดินได้!
มีกี่คนที่ต่อสู้อยู่กับเรื่องเล็กๆแบบนี้! พวกเขาคิดว่าเป็นเรื่องน่าอดสูที่จะต้องเงยหน้าคุยกับคนที่ตัวสูงกว่า เพื่อนของผมคนหนึ่งชื่อ คลาร์ก พินน็อค เป็นอาจารย์สอนวิชาศาสนศาสตร์ระบบที่มหาวิทยาลัยแม็คมาสเตอร์(เมืองฮามิลตัน ประเทศแคนาดา) เขาสูง 200 เซนติเมตร ผมยอมรับว่ามันลำบากอยู่เหมือนกันที่ต้องคอเคล็ดเมื่อแหงนหน้าพูดกับเขานานๆ แต่ก็เป็นความไม่สะดวกสบายแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากเรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ทำไมคุณจึงเป็นทุกข์กับเรื่องความสูงความเตี้ยอยู่เล่า บางคนยังมีปัญหาที่เกาะกินใจกับเรื่องนี้อย่างแรงโดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในหมู่คนที่สูงๆ ความสูงของคุณมันทำให้แตกต่างอย่างไรหรือ พระเจ้าทรงสนใจในความสูงของคุณหรือ พระองค์จะวัดความสูงของคุณไหมเมื่อเข้าประตูอาณาจักรของพระองค์ว่า “คุณเตี้ยเกินไป เข้าไม่ได้” หรืออาจจะกลับกันว่าคนที่สูงเกินไปจะเข้าประตูอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ
ผมหยิบยกสิ่งเหล่านี้เพราะเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่มีคนทุกข์ร้อนกับระดับของการศึกษา กับส่วนสูงของเขา และแม้กระทั่งรถที่เขาขับ รถที่ผมขับควรจะให้อยู่แต่ในพิพิธภัณฑ์! ผมซื้อมาถูกมากไม่กี่พันบาท รถในอเมริกาเหนือจะใช้ได้ไม่นาน เพราะเกลือที่ใช้โรยถนนในช่วงฤดูหนาวจะทำให้ตัวรถผุพัง ดังนั้นรถปี 1977 ของผมจึงเป็นรถโบราณ เป็นรถอายุ 16 ปี ณ เวลานั้นแต่ก็ยังวิ่งได้ฉิว ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับรถคันนี้
ความรู้สึกถึงคุณค่าของเราจะต้องสวนทางกัน เราจะชื่นชมยินดีอย่างแตกต่างจากวิธีที่โลกชื่นชมยินดีได้ไหม มีทางเดียวเท่านั้นที่จะมีประสบการณ์กับฤทธานุภาพของพระเจ้าได้และนั่นก็คือชื่นชมยินดีในความอ่อนแอ ในความต่ำต้อย ในความไม่เป็นคนสำคัญอะไร เปาโลเข้าใจฤทธานุภาพของพระเจ้า และผมก็หวังว่าคุณจะเข้าใจด้วยเช่นกัน
“พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อ่อนแอมาก ข้าพระองค์ไม่มีฤทธิ์อำนาจอยู่ในตัวเอง ข้าพระองค์ไม่สำคัญอะไร ข้าพระองค์ไม่สามารถทำอะไรได้ ข้าพระองค์ไม่มีความรู้อะไร ขอทรงโปรดให้ฤทธานุภาพของพระองค์เข้ามาในชีวิตของข้าพระองค์ด้วยเถิด” พี่น้องที่รัก คุณจะไม่ได้รอดเพียงเพราะคุณรับเอาของประทานแห่งความรอดของพระองค์ แต่ที่จะให้ความรอดของพระองค์ทำงานในคุณ นั่นเป็นหนทางเดียวที่ความรอดของคุณจึงจะสามารถอุตส่าห์ประพฤติได้
คุณเคยได้ยินคำอธิบายอย่างครบถ้วนแบบนี้ไหม ผมไม่เคย ผมเองก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการเรียนรู้ในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ผมขอบคุณองค์ผู้เป็นเจ้าที่สอนวิธีเป็นคนอ่อนแอให้กับผม และวิธีที่จะมีชีวิตในความอ่อนแอของพระคริสต์ โดยธรรมชาติแล้วผมไม่ใช่คนอ่อนแอ และเปาโลก็เช่นกัน ดังนั้นความอ่อนแอจึงเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ เราเรียนไม่ใช่เพื่อจะยอมรับมันเท่านั้นแต่จะชื่นชมยินดีในความอ่อนแอด้วย แล้วคนทั้งหลายก็จะพูดได้ว่า “ผมเห็นฤทธานุภาพและพระสิริของพระเจ้าในชีวิตของคุณ!”
(c) 2021 Christian Disciples Church